บิล เกตส์ ผู้ก่อตั้งไมโครซอฟท์

วิลเลียม เฮนรี เกตส์ ที่สาม (เกิด 28 ตุลาคม ค.ศ. 1955) หรือที่มักเป็นที่รู้จักในชื่อ บิลล์ เกตส์
เป็นนักธุรกิจชาวอเมริกัน และหนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ เขากับผู้บุกเบิกด้านคอมพิวเตอร์
ส่วนบุคคลคนอื่น ๆ ได้ร่วมกันเขียนต้นแบบของภาษาอัลแตร์เบสิก ซึ่งเป็นอินเตอร์เพรเตอร์สำหรับ
เครื่องอัลแตร์ 8800 (เค่รื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลในยุคแรกๆ) เขาได้ร่วมกับ นายพอล อัลเลน
ก่อตั้งไมโครซอฟท์ คอร์ปอเรชันขึ้น ซึ่งในขณะนี้เขาดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการบริหาร 
และหัวหน้าสถาปนิกซอฟต์แวร์ นิตยสารฟอบส์ได้จัดอันดับให้ บิลล์ เกตส์ เป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุด
ในโลกหลายปีติดต่อกัน!
วิลเลียม เฮนรี เกตส์ ที่สามได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการอัศวินแห่งจักรวรรดิบริเตน (KBE)จากสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2
 
 
ประวัติ
 
บิลล์ เกตส์ เกิดที่เมืองซีแอทเทิล มลรัฐวอชิงตัน เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ. 1955 บิดาชื่อนายวิลเลียม เอ็ช เกตส์ จูเนียร์ 
มีอาชีพนักกฎหมายของบริษัท มารดาชื่อแมรี แมกซ์เวล เกตส์ เป็นสมาชิกคณะกรรมการของ Berkshire Hathaway,
First Interstate Bank, Pacific Northwest Bell และคณะกรรมการแห่งชาติของ United Way ชื่อเต็มของเขาคือ
วิลเลียม เฮนรี เกตส์ ที่สาม ปู่ของเขาคือ วิลเลียม เฮนรี เกตส์ ซีเนียร์
 
บิลล์ เกตส์เข้าศึกษาที่โรงเรียนเลคไซด์ อันเป็นโรงเรียนมัธยมที่ดีที่สุดในเมืองซีแอทเทิล ที่นั่นเองที่เขาได้พัฒนาทักษะ
ในการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์กับเครื่องมินิคอมพิวเตอร์ของโรงเรียน เพื่อให้ได้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพ
ดีกว่าเดิม บิลล์ เกตส์ กับ พอล อัลเลน เพื่อนสนิท ได้แอบย่องเข้าไปในห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยวอชิงตัน
ทั้งคู่ถูกจับได้แต่ก็ได้เจรจาตกลงกับเจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการ เพื่อช่วยจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์ให้กับนักเรียนได้ใช้ฟรี ต่อมา
บิลล์ เกตส์ได้เข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด แต่ต้องพักการเรียนไปโดยไม่จบการศึกษา เพื่อที่จะได้เริ่มประกอบอาชีพ
ทางด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์ ในระหว่างที่กำลังศึกษาอยู่ที่ฮาร์วาร์ด เขามีโอกาสได้ทำความรู้จักกับสตีฟ บาลเมอร์ หนึ่ง
ในผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ ทั้งคู่เป็นเพื่อนร่วมห้องในหอพักระหว่างที่เป็นนักศึกษาปี 1
 
ขณะที่ยังเป็นนักศึกษาอยู่ที่ฮาร์วาร์ด เขาได้ร่วมกับ พอล อัลเลน เขียนต้นแบบ ภาษาอัลแตร์เบสิก ซึ่งเป็น,
โปรแกรมอินเตอร์เพรเตอร์สำหรับเครื่องอัลแตร์ 8800 (เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลรุ่นแรกที่ประสบ
ความสำเร็จทางการค้าในกลางคริสตทศวรรษที่ 70) ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากภาษาเบสิก ซึ่งเป็น
ภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เรียนรู้ได้ง่าย ถูกพัฒนาขึ้นครั้งแรกโดยดาร์ทเมาท์คอลเลจ เพื่อใช้ในการเรียนการสอน
 
เกตส์สมรสกับ เมลินดา เฟร้นช์ เมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1994 ทั้งคู่มีบุตรด้วยกันสามคน เจนนิเฟอร์ แคทารีน เกตส์ 
(เกิดเมื่อวันที่ 26 เมษายน ค.ศ. 1996) โรรี จอห์น เกตส์ (เกิดเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม ค.ศ. 1999) และ ฟีบี อาเดล เกตส์ 
(เกิดเมื่อวันที่ 14 กันยายน ค.ศ. 2002)
 
ในปี ค.ศ. 1994 บิลล์ เกตส์ได้ม้วนกระดาษไลเชสเตอร์ ซึ่งรวบรวมงานเขียนของเลโอนาร์โด ดา วินชีมาไว้ในครอบครอง. 
และในปี ค.ศ. 2003 ได้นำม้วนกระดาษนี้ออกแสดงที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งเมืองซีแอทเทิล
 
ในปี ค.ศ. 1997 เกตส์ได้ตกเป็นเหยื่อของแผนการขู่กรรโชกทรัพย์อันแปลกประหลาด ของนายอดัม ควินน์ เพลตเชอร์ 
ชาวเมืองชิคาโก ซึ่งเกตส์ก็ได้ขึ้นให้การต่อศาลในการพิจารณาคดีดังกล่าว เพลตเชอร์ถูกตัดสินลงโทษเมื่อเดือนกรกฎาคม
ค.ศ. 1998 และถูกจำคุกเป็นเวลา 6 ปี ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1998 เกตส์ถูกนายโนเอล โกดังจู่โจมด้วยการ
ปาขนมพายหน้าครีมใส่ ระหว่างการไปปรากฏตัวที่ประเทศเบลเยียม
เกียรติประวัติ
 
– ปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จาก มหาวิทยาลัยวาเซดะ ค.ศ. 2005 
– รางวัลเกียรติยศผู้บัญชาการอัศวินแห่งจักรวรรดิบริเตน จากสหราชอาณาจักร ตามประกาศเมื่อปี ค.ศ. 2005 [1] 
– ปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากสถาบันเทคโนโลยีหลวง (Roytal Institute of Technology) – กรุงสต็อกโฮล์ม 
ประเทศสวีเดน ค.ศ. 2002 
– ติดหนึ่งใน 100 อันดับบุคคลสำคัญผู้มีอิทธิพลต่อประชาชนในสื่อต่าง ๆ จากการจัดอันดับของ หนังสือพิมพ์ เดอะ การ์เดียน ค.ศ. 2001
– ติดอันดับบุคคลผู้มีอำนาจ, นิตยสารซันเดย์ ไทม ค.ศ. 1999 
– อันดับ 2 ในการจัดอันดับ 100 ดาวรุ่ง, นิตยสารอัพไซด์ ค.ศ. 1999 
– อันดับ 1 ในการจัดอันดับ 50 ดาวรุ่งในโลกไซเบอร์, นิตยสารไทม ค.ศ. 1998 
– อันดับที่ 28 ใน 100 อันดับบุคคลสำคัญผู้มีอิทธิพลในวงการกีฬา, นิตยสารสปอร์ตติง นิวส์ ค.ศ. 1997 
– ผู้บริหารระดับสูงแห่งปี, นิตยสารชีฟ เอกเซกคูทีฟ ออฟฟิซเซอร์ ค.ศ. 1994  
– นักกีฏวิทยา ได้ตั้งชื่อแมลงวันตอมดอกไม้พันธุ์หนึ่งว่า Eristalis gatesi ตามชื่อของบิลล์ เกตส์ เพื่อเป็นเกียรติแก่เขา 
 
 
ประมาณการทรัพย์สินของเกตส์
 
บิลล์ เกตส์ ติดอันดับหนึ่ง จากการจัดอันดับ “ฟอร์บ 400” ระหว่างปี ค.ศ. 1993-2005 และติดอันดับหนึ่งในการจัดอันดับ-
มหาเศรษฐีโลกของนิตยสารฟอร์บ ในปี ค.ศ. 1996 และระหว่างปี ค.ศ. 1998-2005 ซึ่งจากการจัดอันดับดังกล่าว สรุปได้ว่า
ทรัพย์สินสุทธิของเขามีมูลค่าดังต่อไปนี้:
– ค.ศ. 1996 – 18.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 1 ของโลก !
– ค.ศ. 1997 – 36.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 2 ของโลก 
– ค.ศ. 1998 – 51.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 1 ของโลก 
– ค.ศ. 1999 – 90.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 1 ของโลก 
– ค.ศ. 2000 – 60.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 1 ของโลก 
– ค.ศ. 2001 – 58.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 1 ของโลก 
– ค.ศ. 2002 – 52.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 1 ของโลก .
– ค.ศ. 2003 – 40.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 1 ของโลก 
– ค.ศ. 2004 – 46.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 1 ของโลก 
– ค.ศ. 2005 – 46.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 1 ของโลก 
– ค.ศ. 2006 – 46.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 1 ของโลก 
 
การที่ทรัพย์สินสุทธิของเกตส์ มีมูลค่าลดลงตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 เป็นต้นมา 
มีสาเหตุมาจากการที่หุ้นของไมโครซอฟท์มีราคาลดลง รวมถึงการที่เขาได้บริจาค
เงินหลายพันล้านดอลลาร์ให้องค์กรการกุศลของเขา และแม้เขาจะมีรายได้ลดลง 
ตามรายงานของนิตยสารฟอร์บในปีค.ศ. 2004 เกตส์ยังได้บริจาคเงินรวมกว่า 28,000 
ล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับองค์กรการกุศลในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
 
เขาได้กลายเป็นบุคคลที่มั่งคั่งที่สุดในโลกไปเสียแล้ว แม้จะนับเอาประมุขของรัฐ 
(ผู้ซึ่งทรัพย์สินมาจากสถานะทางสังคม) ไว้ในการจัดอันดับด้วยก็ตาม 
(แม้ว่าการจัดอันดับตามมาตรฐานของนิตยสารฟอร์บนั้น จะไม่รวมเอาประมุขของ
รัฐเอาไว้ด้วย ฟอร์บได้จัดทำบัญชีประมาณการทรัพย์สินของประมุขแต่ละประเทศไว้ต่างหาก 
เมื่อนำรายชื่อจากการจัดอันดับทั้งสองแบบมารวมกันแล้ว พบว่าเกตส์เป็นบุคคลที่มั่งคั่งที่สุดในโลก)
 
ข้อมูลอ้างอิง : http://th.wikipedia.org/
 
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
 
” Bill Gate เรียนไม่จบ จริง แต่คนจบปริญญาเป็นหมื่นเป็นลูกจ้างเขา เริ่มเขียนโปรแกรมตอนอายุ 13 
และเมื่อเขียน MS Windows ได้ขณะข้ามพรมแดนจาก canada จนท ศุลกากรถามว่า มีทรัพย์สินเท่าไร 
Gate ที่ถือแผ่นดิส 5 นิ้ว 720 kb มาเป็นปึกก็บอกว่า นี่มีค่า 50 ล้านเหรียญ จนท คิดว่าคุยกะคนเพี้ยนเลย
ปล่อยไปโดยไม่คิดตังค์แม้แต่แดงเดียว เมื่อร่วมงานกะ paul allen จนตั้ง microsoft ~เซ็นเซอร์~ส่วนหุ้นคือ
60 / 40 = gates / allen แต่ allen ไม่ชอบนั่งบริหาร ชอบคอมพ์มากเลยขายหุ้นที่ตนทีอยู่ทั้งหมด
และให้เกตบริหารแทน (ผมอ่าน The Road Ahead กะ Business @ speed of thought by Bill Gates )ไปแล้ว a
สักวันจะมีคนไทยคนนึงเป็นแบบเขาให้ได้ “

 

เคส (CASE) คืออะไร

เคส (Case) คืออะไร

 



เคส (Case) คืออะไร

 

Case หรือ “เคส” คือ ตัวถังหรือตัวกล่องคอมพิวเตอร์ หลายคนจะเรียกว่าซีพียูเนื่องจากเข้าใจผิด สำหรับเคสนั้นใช้สำหรับบรรจุอุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์หลักของคอมพิวเตอร์เอาไว้ข้างใน เช่น CPU  เมนบอร์ด การ์ดจอฮาร์ดดิสก์ พัดลมระบายความร้อน และที่ขาดไม่ได้ก็คือ Power Supply ซึ่งจะมีติดอยู่ในเคสเรียบร้อย เคสคอมพิวเตอร์ควรเลือกที่รูปทรงสูงๆ เพื่อจะได้ติดตั้งอุปกรณ์ได้ง่าย และควรเลือกเคสที่มีช่องสำหรับติดตั้งฮาร์ดดิสก์ ซีดีรอมไดรฟ์ เผื่อเอาไว้หลายๆ ช่อง ในกรณีที่ต้องการติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติมในภายหลังจะได้ง่ายขึ้น

รูปแบบของ Case


1.Case แนวนอน

2.Case แนวตั้ง


รูปร่างของ เคส(Case) จะแตกต่างกันไปตามแต่การออกแบบของผู้ผลิต ส่วนวัสดุที่ใช้ทำเคสนั้น มีทั้งโลหะ พลาสติก อะลูมิเนียม อะคลีลิก และก็วัสดุผสม

คุณประโยชน์ Microsoft Office Enterprise 2007

คุณประโยชน์ 10 อันดับแรกของ Microsoft Office Enterprise 2007

Office Enterprise 2007 เป็นชุดเครื่องมือที่สมบูรณ์แบบที่สุดของ Microsoft สำหรับคนที่ต้องร่วมมือกับบุคคลอื่น และทำงานกับข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดและมีสถานะเครือข่ายเป็นอย่างไร Office Enterprise 2007 สร้างขึ้นจากจุดเด่นของ Microsoft Office Professional Plus 2007 โดยเพิ่ม Microsoft Office Groove 2007 และ Microsoft Office OneNote 2007 เพื่อให้ผู้ใช้สามารถร่วมมือ และสร้าง จัดการ ตลอดจนใช้ข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถสร้างผลงานได้ดีขึ้นและรวดเร็วขึ้น ต่อไปนี้เป็น 10 วิธีที่ Office Enterprise 2007 จะช่วยให้คุณและองค์กรของคุณสร้างผลลัพธ์ได้เร็วขึ้นและดีขึ้น

เหตุผลที่ 1

ทำงานร่วมกับผู้อื่นแบบไดนามิก และใช้ข้อมูลร่วมกันได้จากทุกแห่ง

เนื่องจาก OFFICE GROOVE 2007 เป็นซอฟต์แวร์ของระบบเดสก์ท็อป คุณสามารถใช้ข้อมูลร่วมกันและทำงานกับบุคคลอื่นภายในและข้ามองค์กรได้จากทุกแห่ง แม้ว่าจะไม่ได้เชื่อมต่อกับเครือข่ายขององค์กรก็ตาม

   
เหตุผลที่ 2

ใช้ข้อมูลร่วมกับสมาชิกในทีมได้แบบเรียลไทม์

สามาชิกในทีมสามารถปรับปรุงแฟ้มและการอภิปรายของทีม ซึ่งใช้ร่วมกันในพื้นที่ทำงาน Office Groove 2007 ได้พร้อมกัน นอกจากนี้ Office OneNote 2007 ช่วยให้ผู้ใช้ที่อยู่ในตำแหน่งต่างกันสามารถทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ โดยมีช่วงเวลาการใช้ร่วมกันแบบสด ซึ่งผู้ใช้หลายคนสามารถดูและแก้ไขบันทึก งาน การค้นคว้า การระดมสมองหน้าเดียวกันในขณะเดียวกันได้

   
เหตุผลที่ 3

เพิ่มคุณค่าและการเข้าถึงข้อมูลทั้งหมดได้สูงสุด

คุณสามารถใช้ Office OneNote 2007 เพื่อรวบรวมข้อมูลที่มีความแตกต่างกัน รวมถึงบันทึกที่เขียนด้วยลายมือ การบันทึกเสียงและวิดีโอ เอกสารที่จัดรูปแบบ และภาพนิ่งไว้ในที่เดียวกัน เมื่อบันทึกไปยัง Microsoft Office SharePoint Server 2007 เนื้อหาที่ก่อนหน้านี้ไม่มีการจัดโครงสร้างจะสามารถใช้ได้เป็นส่วนหนึ่งของระเบียนโครงการอย่างเป็นทางการ คุณสามารถเข้าถึงเนื้อหาโดยใช้ความสามารถในการค้นหาขั้นสูงใน Office OneNote 2007 และ Office SharePoint Server 2007 เพื่อหลีกเลี่ยงการทำงานซ้ำซ้อน

   
เหตุผลที่ 4

ทำงานร่วมกันเพื่อแลกเปลี่ยนและเก็บข้อมูลอย่างง่ายดาย

เมื่อใช้งานร่วมกัน Office Groove 2007, Office OneNote 2007 และ Office SharePoint Server 2007 มีระบบที่ครอบคลุมที่จะช่วยให้ทีมงานสามารถจัดระเบียบ แบ่งปัน เข้าถึง จัดการ และเก็บข้อมูล Office Groove 2007 และ Office OneNote 2007 มีเครื่องมือด้านความร่วมมือของทีมที่มีคุณลักษณะเพียบพร้อมสำหรับการทำงานแบบไดนามิก และ Office SharePoint Server 2007 จะมีเครื่องมือการเก็บข้อมูลระยะยาวและเครื่องมือในการเข้าถึงสำหรับเวิร์กโฟลว์ พร้อมด้วยเอกสารและระเบียนโครงการอื่นๆ

   
เหตุผลที่ 5

ทำข้อมูลให้ตรงกันกับสมาชิกของทีมโดยอัตโนมัติ

คุณไม่จำเป็นต้องดาวน์โหลดข้อมูลจากพื้นที่ทำงานของ Office Groove 2007 หรือสมุดบันทึก Office OneNote 2007 ก่อนที่จะเข้าสู่สถานะออฟไลน์ หรืออัปโหลดการเปลี่ยนแปลงต่างๆ เมื่อเชื่อมต่ออีกครั้ง การทำงานแบบออฟไลน์จะได้รับการทำข้อมูลให้ตรงกันระหว่างสมาชิกของทีมโดยอัตโนมัติ เมื่อมีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต คุณสามารถเข้าถึงและทำงานกับข้อมูลโครงการที่มีความเกี่ยวข้องมากที่สุดได้ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะออนไลน์หรือออฟไลน์

   
เหตุผลที่ 6

ใช้ข้อมูลล่าสุดเสมอด้วยการแจ้งเตือนการเปลี่ยนแปลงของโครงการ

ใน Office Groove 2007 คุณสามารถติดตามการทำงานของสมาชิกในทีม และการเปลี่ยนแปลงเอกสาร ทำให้คุณสามารถทราบข้อมูลเกี่ยวกับโครงการที่เป็นข้อมูลล่าสุดได้ดียิ่งขึ้น การแจ้งเตือนด้วยเสียงและข้อความจะช่วยให้คุณทราบถึงการเปลี่ยนแปลงที่ระบุไว้ ทำให้คุณไม่ต้องคอยตรวจดูการปรับปรุงอีก

   
เหตุผลที่ 7

ปรับปรุงประสิทธิภาพของการเก็บและแบนด์วิดธ์ของอีเมล

Office Groove 2007 และ Office OneNote 2007 ช่วยลดความต้องการพื้นที่เก็บข้อมูลอีเมลได้ด้วยการย้ายกิจกรรมด้านควมร่วมมือให้ออกจากการใช้อีเมล ทำให้ลดความจำเป็นในการส่งเอกสารทางอีเมล และช่วยให้บัญชีผู้ใช้อีเมลของคุณมีขนาดที่ไม่เกินจากความจุในการเก็บข้อมูล นอกจากนี้ Office Groove 2007 ยังจัดการการทำข้อมูลให้ตรงกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยจะมีการส่งเฉพาะการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับแฟ้ม ลดการใช้แบนด์วิดธ์และเพิ่มความรวดเร็วในการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับสมาชิกในทีม

   
เหตุผลที่ 8

เพิ่มความปลอดภัยของข้อมูลที่ใช้ร่วมกัน

เมื่อคุณใช้ Office Groove 2007 คุณจะได้รับการรักษาความปลอดภัยขั้นสูง ด้วยการเข้ารหัสอย่างแน่นหนา แม้แต่ในแล็ปท็อปที่ตัดการเชื่อมต่อและระหว่างการทำข้อมูลให้ตรงกันในเครือข่ายที่ใช้สายและเครือข่ายไร้สาย ความปลอดภัยนี้จะช่วยให้คุณสามารถควบคุมทรัพย์สินทางปัญญาได้เป็นอย่างดี

   
เหตุผลที่ 9

ทำงานกับซอฟต์แวร์อื่นๆ ในระบบ Microsoft Office

Office Enterprise 2007 ผสานรวมกับซอฟต์แวร์อื่นๆ ของระบบ Microsoft Office รวมถึง Office SharePoint Server 2007, Microsoft Office Communicator 2007 และ Microsoft Office InfoPath 2007 การทำงานร่วมกันนี้ช่วยให้คุณทำงานในโปรแกรมเหล่านี้ได้อย่างราบรื่น ตัวอย่างเช่น ทีมงานสามารถใช้ Office Communicator 2007 และ Office OneNote 2007 ร่วมกันเพื่อเพิ่มวิดีโอและเนื้อหา ตลอดจนความสามารถในการส่งข้อความทันทีไปยังช่วงเวลาการใช้ร่วมกันแบบสดใน Office OneNote 2007 เนื้อหาที่สร้างใน Office Groove 2007 และ Office OneNote 2007 ยังสามารถเก็บไว้เป็นระเบียนของโครงการในระยะยาวใน Office SharePoint Server 2007 ได้อีกด้วย

   
เหตุผลที่ 10

ลดการพึ่งพาฝ่ายไอที ด้วยความสามารถในการบริการด้วยตนเอง

หลังจากการติดตั้งเริ่มต้นภายในองค์กร Office Groove 2007 สามารถช่วยให้คุณตั้งค่าและเชิญสมาชิกคนอื่นๆ ในทีมเข้าสู่พื้นที่ทำงานของ Groove 2007 ที่มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากฝ่ายไอที ซึ่งหมายความว่าการแลกเปลี่ยนข้อมูลและความร่วมมือแบบไดนามิกจะสามารถเริ่มต้นได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น

ชิ้นส่วนในเครื่องคอมพิวเตอร์หลักๆ

 

ชิ้นส่วนในเครื่องคอมพิวเตอร์หลักๆ มีอะไรบ้าง

 
ชิ้นส่วนในเครื่องคอมพิวเตอร์หลักๆ มีอะไรบ้าง
 

1. แหล่งจ่ายไฟ (Power Supply) ทำหน้าที่จ่ายกระแสควบคุมระบบไฟฟ้าให้กับคอมพิวเตอร์

Power Supply

2. ซีพียู (CPU) ทำหน้าที่ประมวลผลและควบคุมการทำงานของอุปกรณ์คอมพิว เตอร์ทั้งหมด

 
 

3. การ์ดแสดงผล (VGA Card) ทำหน้าที่แปลงสัญญาณดิจิตอลเพื่อแสดงผลการทำงานสู่จอภาพ

4. เมนบอร์ด (Mainboard) เป็นแผงวงจรขนาดใหญ่สำหรับเชื่อมต่ออุปกรณ์ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์

5. ไดรว์ CD/DVD เป็นไดรว์ที่ใช้แสงอ่าน/เขียนข้อมูล มีความจุ 650MB (CD) หรือ 4.7/8.5 GB (DVD) พกพาสะดวกและได้รับความนิยม

6. ฟล๊อปปี้ดิสก์ไดรว์ (Floppy Disk Drive) ใช้อ่าน/เขียนแผ่นฟล๊อปปี้ดิสก์ แต่มีความจุต่ำและเสียหายง่าย ปัจจุบันไม่ได้รับความนิยมแล้ว

7. ฮาร์ดดิส (Harddisk) เป็นอุปกรณ์สำหรับติดตั้งระบบปฏิบัติการและจัดเก็บข้อมูล จุดเด่นคือมีความจุและความเร็วสูง

 
เขียนโดย rattiya pompak ที่ 01:56

โมเด็ม

 

Modem (โมเด็ม) คืออะไร

 
Modem (โมเด็ม)
 

โมเด็มมาจากคำว่า MOdulator/DEModulator โดยแยกการทำงานออกเป็น Modulation คือการแปลงสัญญาณดิจิตอล จากเครื่องคอมพิวเตอร์ ต้นทางให้กลายเป็นสัญญาณอะนาลอกแล้วส่งไปตามสายโทรศัพท์ และ Demodulation คือการเปลี่ยนจากสัญญาณอะนาลอก ที่ได้จากสายโทรศัพท์ให้กลับไปเป็นสัญญาณดิจิตอล เพื่อส่งต่อไปยัง เครื่องคอมพิวเตอร์ปลายทาง สัญญาณจากคอมพิวเตอร์เป็นสัญญาณ Digital มีแค่ 0 กับ 1 เท่านั้น เมื่อเปลี่ยนมาเป็นสัญญาณอะนาลอกอยู่ในรูปที่คล้ายกับสัญญาณไฟฟ้าของ โทรศัพท์ จึงส่งไปทางสายโทรศัพท์ได้ สำหรับปัจจุบันนี้ความไวของโมเด็มจะสูงขึ้นที่ 56 Kbps ตอนแรกมีมาตรฐานออกมา 2 อย่างคือ X2 และ K56Flex ออกมาเพื่อแย่งชิงมาตรฐานกัน ทำให้สับสน ในการใช้งาน ต่อมามาตรฐานสากล ได้กำหนดออกมาเป็น V.90 เป็นการยุติความไม่แน่นอน ของการใช้งาน โมเด็มบางตัวสามารถ อัพเดทเป็น V.90 ได้ แต่บางตัวก็ไม่สามารถทำได้ สำหรับโมเด็มปัจจุบันนี้ยังมีความสามารถในการรับส่ง Fax ด้วย ความไวในการส่ง Fax จะอยู่ที่ 14.4 Kb. เท่านั้น
มาตรฐานโมเด็ม V. 22 โมเด็มความเร็ว 1,200 bps V. 22bis โมเด็มความเร็ว 2,400 bps V. 32 โมเด็มความเร็ว 4,800 และ 9,600 bps V. 32bis โมเด็มความเร็วตั้งแต่ 4,800 7,200 9,600 และ 14,400 bps V. 32turbo พัฒนามาจาก V. 32bis อีกทีโดยมีความเร็ว 19,200 bps และสนับสนุนการบีบอัดข้อมูล V. 34 ความเร็ว 28,800 bps V. 34bis เป็นมาตรฐานที่นิยมใช้กันอยู่ช่วงหนึ่ง ความเร็ว 33,600 bps ปัจจุบันก็ยังมีใช้อยู่ V. 42 เกี่ยวกับการทำ Error Correction ในโมเด็ม ช่วยให้โมเด็มเชื่อมต่อเสถียรมากยิ่งขึ้น V. 90 เป็นมาตรฐานที่นิยมใช้กันมากที่สุดในปัจจุบัน ความเร็วอยู่ที่ 56,000 bps V. 44 พัฒนามาจาก V. 42 และพัฒนาการบีบอัดข้อมูลจาก 4:1 เป็น 6:1 V. 92 เพิ่มคุณสมบัติการทำงานกับชุมสายแบบ Call Waiting หรือสายเรียกซ้อน

สามารถแบ่งการใช้งานออกได้เป็น 3 อย่างคือ 1. Internal 2. External 3. PCMCIA
Internal Modem
Internal Modem เป็นโมเด็มที่มีลักษณะเป็นการ์ดเสียบกับสล็อตของเครื่องอาจจะเป็นแบบ ISA หรือPCI ข้อดีก็คือ ไม่เปลืองเนื้อที่ ราคาไม่แพงมากนัก ใช้ไฟเลี้ยงจาก Mainboard ข้อเสียคือ ติดตั้งยากกว่าแบบภายนอก เนื่องจากติดตั้งภายในเครื่องทำให้ใช้ไฟในเครื่องอันส่งผลให้เพิ่มความร้อน ในเครื่อง เคลื่อนย้ายได้ไมสะดวกยาก ใช้ได้เฉพาะเครื่องคอมแบบ PC เท่านั้นไม่สามารถใช้งานกับ NoteBook ได้

Internal Modem

External Modem
External Modem เป็นโมเด็มที่ติดตั้งภายนอกโดยจะต่อกับ Serial Port โดยใช้หัวต่อที่เป็น DB-25 หรือ DB-9 ต่อกับ Com1, Com2 หรือ USB ข้อดีคือ สามารถเคลื่อนย้ายไปใช้กับเครื่องอื่นได้ ติดตั้งได้ง่าย ไม่เพิ่มความร้อนให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ เนื่องจากติดตั้งอยู่ภายนอกและใช้แหล่งจ่ายไฟภายนอก สามารถใช้ งานกับเครื่อง NoteBook ได้เนื่องจากต่อกับ Serial Port หรือ Parallel Port มีไฟแสดง สภาวะการทำงานของโมเด็ม ข้อเสีย มีราคาค่อนข้างสูง เกิดปัญหาจากสายต่อได้ง่าย ในการเลือกใช้จึงต้องดูหลายประการเช่น ความสะดวกในการใช้งาน คอมพิวเตอร์ เป็นรุ่นเก่า ก็ควรใช้แบบ internal และหากมีแต่ Slot ISA ก็ต้องเลือกแบบ ISA Internal หากต้องการเคลื่อนย้ายไปใช้กับ เครื่องอื่นอยู่เรื่อยก็ต้องใช้แบบภายนอก หากให้สะดวกก็ควรเป็น แบบ Internal ครับจะได้ความไวที่ โดยมากจะสูงกว่าแบบภายนอก มีปัจจัยหลายอย่างในการเลือกต้องดูด้วยว่า ISP (Internet Service Provider) ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต ที่คุณใช้นั้นรองรับ มาตรฐาน V.90 ข้อเสียของโมเด็มรุ่นใหม่ ๆ ที่มีราคาถูกที่เป็น Internal PCI คือผู้ผลิดเขาจะตัดชิพที่ ทำหน้าที่ ตรวจสอบความผิดพลาด แก้ไขสัญญาณรบกวน (Error Correction) ที่มีมาก ในสายโทรศัพท์ในบางที่ แล้วไปใช้ความสามารถของซีพียูมาทำหน้าที่นี้แทน ทำให้เกิดการใช้ งานซีพียูเพิ่มมากขึ้นทำให้ความเร็วของ เครื่องลดลง หรือสัญญาณโทรศัพท์อาจตัดหรือ เรียกว่าสายหลุดได้ สำหรับคุณสมบัติ ที่ควรมีของโมเด็มคือ DSVD ที่ทำให้โมเด็มสามารถส่งผ่าน ข้อมูล Voice และ Data ได้ในขณะเดียวกันได้โดยความ เร็วไม่ลดลง และดูสิ่งที่ให้มาด้วยเช่น ซอฟท์แวร์ต่าง ๆ รวมทั้งดูว่าสามารถใช้อ่านอื่น ๆ ได้เช่น Fax, Voice, Mail และ Call ID เป็นต้น

External Modem

PCMCIA
เป็น Card ที่ใช้งานเฉพาะ โดยใช้กับ Notebook เป็น Card เสียบเข้าไปในช่องสำหรับเสียบ Card โดยเฉพาะสะดวกในการพกพา ในปัจจุบัน Modem สำหรับ Notebook จะติดมาพร้อมกันอยู่แล้วทำให้ความนิยมในการใช้ Card Modem ชนิดนี้ลดน้อยลง
ปัจจัยที่สำคัญที่มีผลต่อการใช้โมเด็มในการเชื่อมโยงอินเทอร์เน็ต มีดังนี้
1. คุณภาพของสายทองแดง ระยะทางยาว การต่อสาย หรือหัวต่อต่าง ๆ ทำให้มีปัญหาต่อสัญญาณรบกวน 2. ไม่ควรใช้สายพ่วง เพราะการพ่วงสายจะทำให้อิมพีแดนซ์ของสายลดต่ำลง และจะมีปัญหาได้ขณะใช้งานถ้ามีคนยกหูโทรศัพท์เครื่องพ่วงสายจะหลุดทันที 3. ต้องไม่เปิดบริการเสริมใด ๆ สำหรับสายที่ใช้โมเด็ม เช่น เปิดให้มีสายเรียกซ้อน การรับสัญญาณอื่นขณะใช้โมเด็มจะทำให้การเชื่อมโยงหยุดทันที 4. หากชุมสายที่บ้านเชื่อมอยู่ต้องผ่านหลายชุมสาย หรือต้องผ่านระหว่างเครือข่ายของบริษัทบริการโทรศัพท์ 5. คุณภาพของโมเด็มที่ใช้ ปัจจุบันมีโมเด็มที่ผลิตหลากหลาย และมีคุณภาพแตกต่างกัน การแปลงสัญญาณอาจมีข้อแตกต่าง

 

เคส คืออะไร

 

 

เคส (Case) คืออะไร

 

เคส (Case) คืออะไร

 

Case หรือ “เคส” คือ ตัวถังหรือตัวกล่องคอมพิวเตอร์ หลายคนจะเรียกว่าซีพียูเนื่องจากเข้าใจผิด สำหรับเคสนั้นใช้สำหรับบรรจุอุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์หลักของคอมพิวเตอร์เอาไว้ข้างใน เช่น CPU  เมนบอร์ด การ์ดจอ ฮาร์ดดิสก์ พัดลมระบายความร้อน และที่ขาดไม่ได้ก็คือ Power Supply ซึ่งจะมีติดอยู่ในเคสเรียบร้อย เคสคอมพิวเตอร์ควรเลือกที่รูปทรงสูงๆ เพื่อจะได้ติดตั้งอุปกรณ์ได้ง่าย และควรเลือกเคสที่มีช่องสำหรับติดตั้งฮาร์ดดิสก์ ซีดีรอมไดรฟ์ เผื่อเอาไว้หลายๆ ช่อง ในกรณีที่ต้องการติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติมในภายหลังจะได้ง่ายขึ้น
รูปแบบของ Case 1.Case แนวนอน

2.Case แนวตั้ง


รูปร่างของ เคส(Case) จะแตกต่างกันไปตามแต่การออกแบบของผู้ผลิต ส่วนวัสดุที่ใช้ทำเคสนั้น มีทั้งโลหะ พลาสติก อะลูมิเนียม อะคลีลิก และก็วัสดุผสม

ipad

Image

หลังจากประสบความสำเร็จในการผลิตและจำหน่ายโทรศัพท์มือถือที่ดังที่สุดในโลกอย่าง iPhone บริษัท แอปเปิ้ล คอมพิวเตอร์ ก็ได้ดำเนินการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ที่พร้อมจะเขย่าโลก โดยครั้งนี้เป้าหมายไม่ใช่วงการมือถือเหมือนครั้งผลิต iPhone คราวนี้แอปเปิ้ลจะเขย่าวงการคอมพิวเตอร์ด้วย iPad

iPad เปิดตัวอวดโฉมเป็นครั้งแรกที่ ซานฟรานซิสโก ในวันที่ 27 มกราคม 2010 โดยมีนาย สตีฟ จ๊อบส์ ผู้บริหารบริษัทแอปเปิ้ล เป็นคนนำตัว iPad ออกมาให้โลกได้เห็นเป็นครั้งแรก ท่ามกลางบรรดาเหล่าสื่อมวลชนที่แห่กันมาทำข่าวกันคับคั่ง

ipad

เมื่อ iPad เห็นครั้งแรก หลายคนนึกถึง จอคอมพิวเตอร์ บางคนคิดถึงกระจก ใครที่ชอบทางด้าน เทคโนโลยีอยู่แล้ว อาจจะคิดถึง iPhone และ iPod Touch ซึ่งก็ไม่ผิดจากความจริงเท่าไหร่ครับ

แล้ว iPad คืออะไรกันล่ะ?

iPad นั้น พูดให้สั้นที่สุดต้องบอกว่า iPad คือ Tablet PC ครับ

แต่เราจะจำกัดความ iPad ด้วย Tablet PC สั้นๆก็คงไม่ถูกนัก

iPad คือ Tablet PC ?

เรามาเริ่มกันที่ iPad คือ Tablet PC กันก่อนครับ ถ้าเป็นคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค ทุกท่านคงรู้จักกันดีนะครับ ตอนนี้เราใช้ คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คเป็นหลักในการทำงานมากกว่าคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะเสียอีก  ทีนี้ถ้าเราเอาโน้ตบุ๊คมาหักครึ่ง เอาเฉพาะส่วนหน้าจอมาใช้งาน เอาคีย์บอร์ดทิ้งไป แล้วเปลี่ยนการพิมพ์บนคีย์บอร์ด มาพิมพ์บนหน้าจอ โยนเมาส์ทิ้งไป เปลี่ยนมาใช้นิ้วจิ้มบนหน้าจอแทน อะไรจะเกิดขึ้น เราก็จะได้ คอมพิวเตอร์แบบหน้าจอสัมผัสแบบพกพา ที่เราเรียกกันว่า Tablet PC ครับ

โดยพื้นฐานแล้ว Tablet PC ไม่มีอะไรแตกต่างจากคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คครับ เพียงแต่ไม่มีคีย์บอร์ด ไม่มีเมาส์ เท่านั้นเอง เรายังใช้งานโปรแกรมใน Windows XP , Windows Vista ไม่ว่าจะเป็น โปรแกรมเวิร์ด เอ็กเซลล์ การใช้งานอินเตอร์เน็ต สามารถใช้งานได้เหมือนเดิมครับ   iPad เองก็จัดอยู่ในประเภท Tablet PC เช่นเดียวกันนะครับ การใช้งาน iPad จะไม่มีคีย์บอร์ด ไม่มีเมาส์ ทุกอย่างทำบนหน้าจอทั้งสิ้น มีรูปร่างสวยงาม น้ำหนักเบาพกพาได้ง่าย(680 กรัม)

แต่ iPad นั้นมีความแตกต่างจาก Tablet PC ทั่วไปที่เรารู้จักกันครับ เนื่องจากระบบปฏิบัติการของมันนั่นเองครับ

 

ระบบปฏิบัติการของ iPad

 

ใช้ตัวเดียวกับที่ใช้ iPhone ครับ เรียกกันว่า iPhone OS โดยมีการพัฒนาปรับปรุงเพื่อใช้กับอุปกรณ์ขนาดใหญ่อย่าง iPad (ดังนั้นiPad คือ ทายาท iPhone?) เพราะฉะนั้น จุดเด่นที่เคยมีอยู่ใน iPhone ก็จะมีอยู่ใน iPad เกือบครบเลยครับ เรามาดูกัน

ipadiphone

หน้าตา iPad เปรียบเทียบกับ iPhone

 

จุดเด่นที่สืบทอดจาก iPhone OS

  • คุณสมบัติด้านบันเทิง การดูหนัง ฟังเพลง สำหรับ iPhone เป็นโทรศัพท์ที่ขึ้นชื่อในด้านการดูหนัง ฟังเพลงอยู่แล้วนะครับ คุณภาพของภาพและเสียงนั้นถ่ายทอดมาจาก สินค้าขึ้นชื่อของแอปเปิ้ลอีกตัวนึงอย่าง iPod ที่ครองแชมป์ในด้านเครื่องเล่น mp3 ที่ดีที่สุดในโลก สำหรับ iPad เมื่อรับความสามารถนี้มา รับรองได้ว่า การดูหนัง ฟังเพลงบน iPad ก็เลยยอดเยี่ยมไม่แพ้พี่ๆครับ
  • การหมุนหน้าจออัตโนมัติ ใน iPad เราจะพบกับหน้าจอที่หมุนเองอัตโนมัติ เวลาที่เราเอียงหน้าจอ ไม่ว่าจะเป็นมุมตั้งสำหรับใช้งานแอพพลิเคชั่น หรือ มุมแนวนอนสำหรับเวลาดูวีดีโอ
  • GPS ใน iPhone เราจะพบว่ามีการนำชิป GPS ที่ใช้ในการระบุตำแหน่งพิกัดละติจูด ลองจิจูดของตัวเองติดมากับเครื่องด้วยครับ และจะมีโปรแกรมสำหรับใช้งานคู่กับ GPS มากมายเลยทีเดียว สำหรับ iPad เองก็เช่นเดียวกัน GPS จะมาพร้อมเครื่องด้วยครับ
  • Multi Touchscreen ถ้าเป็นจอสัมผัสทั่วไป เราใช้ได้เพียงนิ้วเดียวในการจิ้ม แทนการใช้เมาส์ แต่สำหรับ iPad นั้นเราสามารถใช้ นิ้วสองนิ้ว ในการย่อขยายรูป หมุนรูป รวมถึงใช้ซูมเข้า ซูมออกหน้าเว็บไซต์ได้ครับ
  • digital magnetic compass คือความสามารถในการจับสนามแม่เหล็กไฟฟ้า เป็นผล iPad จำลองตัวเองเป็นเข็มทิศได้ครับ
  • accelerometer อันนี้อธิบายลำบากครับ มันคือความสามารถในการจับการเคลื่อนไหวของตัวเครื่องได้ครับว่า ตัวเครื่องเอียงซ้าย เอียงขวา เวลาเล่นเกมส์ขับรถ เราใช้ iPad แทนพวงมาลัยได้เลยครับ

จากการที่ iPad นั้นทั้งฮาร์ดแวร์ และระบบปฏิบัติการคล้าย iPhone มากนั้น ทำให้นักวิจารณ์คอมพิวเตอร์หลายค่ายออกมาบ่นว่า iPad ก็คือ iPhone ขนาดใหญ่นั่นเอง พูดอีกอย่างก็คือ แทนที่จะบอกว่า iPad เป็น Tablet PC พวกนักวิจารณ์มองว่า iPad คือ iPhone ยักษ์นั่นเอง (บางคนก็ว่า iPod Touch ยักษ์)

 

แล้วมันจะเป็นอะไรไป ถ้า iPad จะเป็น iPhone เครื่องยักษ์ ก่อนจะเลยไปถึงเรื่องนั้น เรามาดูกันก่อนดีกว่า ว่า iPad ใช้ทำอะไรได้บ้าง

อย่างที่เล่าให้ฟังนะครับว่า iPad เป็น Tablet มีคุณสมบัติหลักๆตามแบบ  iPhone ทีนี้ถ้าเรามาดูความสามารถที่ทางแอปเปิ้ลนำเสนอกันหน่อยว่า iPad นี้ทำอะไรได้บ้าง

การเล่นเว็บไซต์ (SAFARI)

พูดง่ายๆก็คือ การเข้าเว็บไซต์ต่างๆนั่นเองครับ แต่ด้วยหน้าจอแบบ Multi Touchscreen คุณก็จะพบกับประสบการณ์การเล่นเว็บที่หน้าทึ่งทีเดียวครับ ลองดูวีดีโอ ด้านล่างครับ
  • Photo ลักษณะคล้ายโปรแกรมจัดการรูปทั่วไปนะครับ(เช่น ACD see) แต่มันพิเศษตรงที่ใช้นิ้ว สองนิ้วซูมเข้าซูมออกได้ครับ ประกอบกับที่รูปมันปรับตามหน้าจอที่เราหมุนเอียงได้

ipadphoto

  • iPod & Movie ฟังก์ชั่นในการดูหนังฟังเพลงบ้างนะครับ อย่างที่บอกว่าเป็นความสามารถหลักที่รับสืบทอดมาจาก iPhone โดยตรง สำหรับการดูหนัง ก็จะพิเศษหน่อยตรงที่ iPad นั้นรองรับการดูหนังระดับ Hidef 720p ด้วยนะครับ เรียกว่าชัดมาก สีสันสดทีเดียวเลย

ipadipod

  • Youtube นอกจากดูหนังฟังเพลง ที่มีอยู่ในเครื่อง iPad เองแล้ว เรายังสามารถใช้ iPad ดูวีดีโอที่ถูกโพสไว้ที่ Youtube ได้อีกด้วย
  • iBook ในยุคที่การอ่านเข้าสู่ดิจิตอลแล้ว iPad ก็ได้นำเอาการอ่านหนังสือมาใส่ไว้ในตัวมันด้วยเช่นกัน หนังสือค่ายดังๆในอเมริกาหลายเจ้า ก็จะทำหนังสือดิจิตอลมาสู่คลังหนังสือใน  iBook Store ให้เจ้าของ iPad สามารถซื้อหาหนังสือดิจิตอลในราคาที่ถูกกว่าปกติ นอกจาก iBook จะจำลองการอ่านหนังสือตามปกติแล้ว มันยังเพิ่มคุณค่าโดยใส่วีดีโอ และเสียงลงในหนังสือได้ลงตัวอีกด้วย

ipadibook

  • สำหรับการจัดการปฏิทิน และรายชื่อผู้ติดต่อ(contact) ก็สุดแสนน่าประทับใจ ใครที่ติดการใช้งาน Microsoft Outlook คงชอบหน้าตาปฏิทินของ iPad แน่ๆครับ และในรายชื่อผู้ติดต่อ นอกจากระบุชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์แล้ว ยังสามารถระบุตำแหน่งที่อยู่ในรูปของพิกัดละติจูด ลองจิจูด เพื่อแสดงผลในแผนที่ของ google map ได้ด้วยครับ

ipadmail

  • Maps ฟังก์ชั่นนี้น่าจะเป็นที่คุ้นเคยสำหรับทุกท่านนะครับ Google Map ให้บริการด้านแผนที่ออนไลน์มานานแล้ว สำหรับ iPad ที่มีชิป GPS ติดมาด้วยสามารถทำงานเป็น อุปกรณ์นำทาง(Navigator) ได้ด้วยฟังก์ชั่น Maps นี้ครับ

ipadgps

  • iWork ฟังก์ชั่นงานเอกสาร Office สำหรับงานด้านเอกสารของ iPad แอปเปิ้ลได้พัฒนาต่อจากโปรแกรมชุด iWork ซึ่งเป็นชุดโปรแกรมงานออฟฟิศแบบเดียวกับ Microsoft Office ที่ใช้งานในคอมพิวเตอร์ Mac โดยพัฒนาให้มีความเหมาะสมกับการใช้งานแบบ Multi touchscreen ของ iPad และคงชื่อเดิมไว้ว่า iWork ซึ่งมีชุดโปรแกรม

Page(งานพิมพ์เอกสาร)

ipadwrite

Number   (งานสเปรดชีดแบบ เอ็กเซลล์)

ipadnumber

Keynote (งานนำเสนอแบบเดียวกับ พาวเวอร์พอยต์) แค่คิดว่าจะทำงานออฟฟิศบน iPad ก็น่าตื่นเต้นแล้วนะครับ “บทความ : iPad คืออะไร ตอนที่ 1”

ipadkn

 

บุคคลากรคอมพิวเตอร์

 

 Image
บุคลากรทางคอมพิวเตอร์ (PEOPLEWARE)
บุคลากรทางคอมพิวเตอร์ หมายถึง คนที่มีความรู้ความสามารถในการใช้หรือควบคุมให้การใช้คอมพิวเตอร์เป็นไปอย่างราบรื่น อาจจะประกอบด้วยคนเพียงคนเดียวหรือหลายคนช่วยกันรับผิดชอบ โครงสร้างของหน่วยงานคอมพิวเตอร์
1. ฝ่ายวิเคราะห์และออกแบบระบบงาน
2. ฝ่ายเกี่ยวกับโปรแกรม
3. ฝ่ายปฏิบัติงานเครื่องและบริการ
บุคลากรในหน่วยงานคอมพิวเตอร์
1. หัวหน้าหน่วยงานคอมพิวเตอร์ (EDP Manager)
2. หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์และวางแผนระบบงาน (System Analyst หรือ SA)
3. โปรแกรมเมอร์ (Programmer)4. ผู้ควบคุมเครื่องคอมพิวเตอร์ (Computer Operator)
5. พนักงานจัดเตรียมข้อมูล (Data Entry Operator)

บทบาทและหน้าที่ของบุคลากรทางคอมพิวเตอร์
บุคลากรทางคอมพิวเตอร์เป็นองค์ประกอบที่สำคัญส่วนหนึ่งของระบบสารสนเทศคอมพิวเตอร์ ทั้งนี้เนื่องมาจากการทำงานของคคอมพิวเตอร์จำเป็น อย่างยิ่งที่จะต้องมีบุคลากรทางด้านคอมพิวเตอร์เป็นผผู้ออกแบบและพัฒนาระบบ รวมทั้งการสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการบุคลากรทีมีความเกี่ยวข้องกับระบบคอมพิวเตอร์ มีบทบาทและหน้าที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับลักษณะของงานที่รับผิดชอบ ซึ่งสามารถสรุปเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ดังนี้
1. เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ (operator) เป็นผู้รับผิดชอบดูแลเครื่องคอมพิวเตอร์ให้สามารถทำงานได้ตามปกติ หากเกิดปัญหาขัดขื้องเกีทื่ยวกับระบบจะต้องแจ้งให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง ได้ทราบ เพื่อทำการแก้ไข นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการยังทำหน้าที่บำรุงรักษาอุปกรณ์ที่มีอยู่ให้สามารถพร้อมที่จะนำไปใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการยังรวมถึงเจ้าหน้าที่บันทึกข้อมูลเข้าสู่ระบบ (date – entry operator) ที่ทำหน้าที่ป้อนข้อมูลเข้าสู่ระบบ ตลอดจนจัดทำรายงาน และรวบรวมเอกสารคอมพิวเตอร์ให้เป็นระเบียบ
2. บุคลากรที่เกี่ยวข้องกับระบบ (system) และโปรแกรม (program)บุคลากรคอมพิวเตอร์ในกลุ่มนี้ ประกอบด้วย
2.1 นักวิเคราะห์และออกแบบระบบ (systems analyst and designer) ทำหน้าที่ศึกษาและรวบรวมความต้องการของผู้ใช้ระบบ เพื่อนำมาวิเคราะห์และออกแบบระบบงานใหม่ และทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างผู้ใช้ระบบและนักเขียนโปรแกรม (programmer)
2.2 ผู้บริหารฐานข้อมูล (database administrator ) ทำหน้าที่ออกแบบและดูแลระบบฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์ ตลอดจนบำรุงรักษาและแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์ขององค์การ
2.3 นักพัฒนาโปรแกรมระบบ (system programmer) เป็นผู้เขียนโรแกรมควบคุมระบบคอมพิวเตอร์ ให้คำปรึกษาและแก้ไขระบบเมื่อเกิดปัญหาที่เกี่ยวข้องกับระบบคอมพิวเตอร์
2.4 นักพัฒนาโปรแกรมประยุกต์ (application programmer) เป็นผู้เขียนและพัฒนาโปรแกรมประยุกต์ต่าง ๆ โดยการนำผลที่นักวิเคราะห์ระบบได้ออกแบบไว้นักเขียนโปรแกรมประยุกต์ จะต้องทำการทดสอบ แก้ไขโปรแกรม ติดตั้งและบำรุงรักษาโปรแกรมที่พัฒนาขึ้น
3. ผู้จัดการศูนย์ประมวลผลคอมพิวเตอร์ (electronic data processing manager) ผู้จัดการศูนย์คอมพิวเตอร์ หรือ EDP manager เป็นบุคลากรระดับบริหารที่ทำหน้าที่กำหนดนโยบายและแผนการดำเนินงาน ของศูนย์คอมพิวเตอร์ การวางแผนเรื่องงบประมาณและการจัดหาทรัพยากรคอมพิวเตอร์ ตลอดจนการส่งเสริมและพัฒนาบุคลากรในหน่วยงานให้มีความรู้ความสามารถ ทันกับเทคโนโลยีสมัยใหม่
4. ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ (computer user) เป็นผู้ให้ข้อมูลความต้องการในการนำคอมพิวเตอร์มาใช้งานในหน่วยงาน ตลอดจนเป็นผู้ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ที่ได้พัฒนาขึ้น หรือใช้โปรแกรมประยุกต์อื่น ๆ

พีเพิลแวร์ คือ ผู้ปฏิบัติงานตามกระบวนวิธีการในกิจกรรมต่างๆ อันได้แก่ การสร้างหรือเก็บรวบรวมข้อมูล บางกลุ่มอาจทำหน้าที่ในการพัฒนาซอฟท์แวร์ขึ้นมาใหม่ๆ ตามความต้องการและในการประมาลผล และอาจเปลี่ยนแปลงโปรแกรมที่มีอยู่แล้วให้สอดคล้องตามความต้องการที่เปลี่ยนแปลงในโอกาสต่างๆ จะเห็นว่าบุคลากรทางคอมพิวเตอร์บางกลุ่มทำหน้าที่สร้างกระบวนการวิธีการให้แก่บุคลากรทางคอมพิวเตอร์กลุ่มอื่นๆ ได้เพื่อให้การทำงานหรือใช้งานด้วยคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพ บุคคลที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์มีหลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทก็มีหน้าที่และความรับผิดชอบแตกต่างกันไปดังนี้ ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ (User) หมายถึงผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ทั่วไป สามารถทำงานตามหน้าที่ในหน่วยงานนั้นๆ เช่น การพิมพ์งาน การป้อนข้อมูลเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ การส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านเทคนิคต่างๆ ของคอมพิวเตอร์ก็ได้
ผู้ดูแลและซ่อมบำรุงเครื่องคอมพิวเตอร์ (Supporter) หมายถึงผู้ดูแลและคอยตรวจสอบสภาพเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อให้มีสภาพความพร้อมที่จะทำงานได้ตลอดเวลา กลุ่มนี้จะเรียนรู้เทคนิคการรักษา ดูแลเครื่องคอมพิวเตอร์ ตลอดการต่อเชื่อม ตลอดจนการใช้งานโปรแกรมต่างๆ ค่อนข้างดี
ผู้เขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ (Programmer) หมายถึงผู้เขียนโปรแกรมตามผู้ออกแบบและวิเคราะห์ระบบคอมพิวเตอร์เป็นผู้กำหนด เพื่อให้ได้โปรแกรมที่ตรงตามวัตถุประสงค์การใช้งานในองค์กร กลุ่มนี้จะศึกษามาทางด้านภาษาคอมพิวเตอร์โดยเฉพาะ สามารถเขียนคำสั่งคอมพิวเตอร์โดยภาษาต่างๆ ได้ และเป็นนักพัฒนาโปรแกรมให้คนอื่นเอาไปใช้งาน
ผู้ออกแบบและวิเคราะห์ระบบคอมพิวเตอร์ (System Analysis) เป็นผู้ที่มีหน้าที่พิจารณาว่าองค์กรควรจะใช้คอมพิวเตอร์ในลักษณะใดจึงจะเหมาะสม เกิดประโยชน์สูงสุดและได้คุณภาพดี เป็นผู้ออกแบบโปรแกรมก่อนส่งงานไปให้โปรแกรมเมอร์ทำงานในส่วนต่อไป
ผู้บริหารระบบคอมพิวเตอร์ (System Manager) เป็นผู้มีหน้าที่บริหารทรัพยากรทุกชนิดที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่องค์กร

ฮาร์ดดิสก์

Image

ฮาร์ดดิสก์ (Hard Disk) (หน้า 1/2)

Hard Disk   คือ  อุปกรณ์ที่เก็บข้อมูลได้มาก  สามารถเก็บได้อย่างถาวรโดยไม่จำเป็นต้องมีไฟฟ้ามาหล่อเลี้ยงตลอดเวลา  เมื่อปิดเครื่องข้อมูลก็จะไม่สูญหาย ดังนั้น  Hard Disk  จึงถูกจัดเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการเก็บระบบปฏิบัติการ  โปรแกรม  และข้อมูลต่าง  ๆ  เนื่องจาก  Hard Disk  เป็นอุปกรณ์ที่ง่ายต่อการอัพเกรดทำให้เทคโนโลยี  Hard Disk  ในปัจจุบันได้พัฒนาอย่างรวดเร็ว ฉะนั้นการเลือกซื้อ  Hard Disk   จึงควรคำนึงซึ่งประสิทธิภาพที่จะได้รับจาก  Hard Disk
ส่วนประกอบของ Hard Disk 

1. แขนของหัวอ่าน ( Actuator Arm ) ทำงานร่วมกับ Stepping Motor ในการหมุนแขนของหัวอ่านไปยังตำแหน่งที่เหมาะสม สำหรับการอ่านเขียนข้อมูล โดยมีคอนโทรลเลอร์ ทำหน้าที่แปลคำสั่งที่มาจากคอมพิวเตอร์ จากนั้นก็เลื่อนหัวอ่านไปยังตำแหน่งที่ต้องการ เพื่ออ่านหรือเขียนข้อมูล และใช้หัวอ่านในการอ่านข้อมูล ต่อมา Stepping Motor ได้ถูกแทนด้วยVoice Coil ที่สามารถทำงานได้เร็ว และแม่นยำกว่า Stepping Motor

2 . หัวอ่าน ( Head ) เป็นส่วนที่ใช้ในการอ่านเขียนข้อมูล ภายในหัวอ่านมีลักษณะเป็น ขดลวด โดยในการอ่านเขียนข้อมูลคอนโทรลเลอร์  จะนำคำสั่งที่ได้รับมาแปลงเป็นแรงดันไฟฟ้าแล้วป้อนเข้าสู่ขดลวดทำให้เกิดการเหนี่ยวนำทางแม่เหล็ก ไปเปลี่ยนโครงสร้างของสารแม่เหล็ก ที่ฉาบบนแผ่นดิสก์ จึงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของข้อมูลขึ้น

3. แผ่นจานแม่เหล็ก ( Platters ) มีลักษณะเป็นจานเหล็กกลมๆ ที่เคลือบสารแม่เหล็กวางซ้อนกันหลายๆชั้น (ขึ้นอยู่กับความจุ) และสารแม่เหล็กที่ว่าจะถูกเหนี่ยวนำให้มีสภาวะเป็น 0 และ1 เพื่อจัดเก็บข้อมูล โดยจานแม่เหล็กนี้จะติดกับมอเตอร์ ที่ทำหน้าที่หมุน แผ่นจานเหล็กนี้ ปกติ Hard Disk  แต่ละตัวจะมีแผ่นดิสก์ประมาณ 1-4 แผ่นแต่ละแผ่นก็จะเก็บข้อมูลได้ทั้ง2 ด้าน

4. มอเตอร์หมุนจานแม่เหล็ก ( Spindle Moter ) เป็นมอเตอร์ที่ใช้หมุนของแผ่นแม่เหล็ก ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากต่อความเร็วใน การหมุน ของ Hard Disk เพราะยิ่งมอเตอร์หมุนเร็วหัวอ่านก็จะเจอข้อมูลที่ต้องการเร็วขึ้น ซึ่งความเร็วที่ว่านี้จะวัดกันเป็นรอบต่อนาที ( Rovolution Per Minute หรือย่อว่า RPM ) ถ้าเป็น Hard Disk รุ่นเก่าจะหมุนด้วยความเร็วเพียง3,600รอบต่อนาที ต่อมาพัฒนาเป็น 7,200รอบต่อนาที และปัจจุบันหมุนได้เร็วถึง 10,000รอบต่อนาที การพัฒนาให้ Hard Disk หมุนเร็วจะได้ประสิทธิภาพสูงขึ้น

5. เคส ( Case ) มีลักษณะเป็นกล่องสี่เหลี่ยม ใช้บรรจุกลไกต่างๆ ภายในแผ่นดิสก์เพื่อป้องกันความเสียหาย ที่เกิดจากการหยิบ จับ และป้องกันฝุ่นละออง

ชนิดของ Hard Disk แบ่งตามการเชื่อมต่อ (Interface)

1. แบบ IDE (Integrate Drive Electronics)

          Hard Disk แบบ IDE เป็นอินเทอร์เฟซรุ่นเก่า ที่มีการเชื่อมต่อโดยใช้สายแพขนาด 40 เส้น โดยสายแพ 1 เส้นสามารถที่จะต่อ Hard Disk  ได้ 2 ตัว บนเมนบอร์ดนั้นจะมีขั้วต่อ IDE อยู่ 2 ขั้วด้วยกัน ทำให้สามารถพ่วงต่อ Hard Disk ได้สูงสุด 4 ตัว ความเร็วสูงสุดในการถ่ายโอนข้อมูลอยู่ที่ 8.3 เมกะไบต์/ วินาที สำหรับขนาดความจุก็ยังน้อยอีกด้วย เพียงแค่504 MB

รูปแสดง Slot IDE บนแผงวงจร Mainboard

2. แบบ E-IDE (Enhanced Integrated Drive Electronics)

          Hard Disk แบบ E-IDE พัฒนามาจากประเภท IDE ด้วยสายแพขนาด 80 เส้น ผ่านคอนเน็คเตอร์ 40 ขาเช่นเดียวกันกับ IDE ซึ่งช่วยเพิ่มศักยภาพ ในการทำงานให้มากขึ้น โดย Hard Disk ที่ทำงานแบบ E-IDE นั้นจะมีขนาดความจุที่สูงกว่า504 MB และความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลที่สูงขึ้น โดยสูงถึง 133 เมกะไบต์/ วินาที

วิธีการรับส่งข้อมูลของ Hard Disk แบบ E-IDE แบ่งออกเป็น 2 โหมด คือ  PIO และ DMA

โหมด PIO (Programmed Input Output) เป็นการรับส่งข้อมูลโดยผ่านการประมวลผลของซีพียู คือรับข้อมูลจากHard Disk เข้ามายังซีพียู หรือส่งข้อมูลจากซีพียูไปยัง Hard Disk การทำงานในโหมดนี้จะเน้นการทำงานกับซีพียู  ดังนั้นจึงไม่เหมาะกับงานที่ต้องการเข้าถึงข้อมูลใน Hard Disk  บ่อยครั้งหรือการทำงานหลาย ๆ งานพร้อมกันในเวลาเดียวที่เรียกว่าMultitasking environment 

โหมด DMA (Direct Memory Access) จะอนุญาตให้อุปกรณ์ต่าง ๆ ส่งผ่านข้อมูลหรือติดต่อไปยังหน่วยความจำหลัก (RAM) ได้โดยตรงโดยไม่ต้องติดต่อไปที่ซีพียูก่อนเหมือนกระบวนการทำงานปกติ ทำให้ซีพียูจัดการงานได้รวดเร็วขึ้น

3. แบบ SCSI (Small Computer System Interface)

          Hard Disk แบบ SCSI เป็น Hard Disk ที่มีอินเทอร์เฟซที่แตกต่างจาก E-IDE โดย Hard Disk แบบ SCSI จะมีการ์ดสำหรับควบคุมการทำงาน โดยเฉพาะ เรียกว่า การ์ด SCSI สำหรับการ์ด SCSI นี้ สามารถที่จะควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ที่มีการทำงานแบบ SCSI ได้ถึง 7 ชิ้นอุปกรณ์ ผ่านสายแพรแบบ SCSI อัตราความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลของ แบบ SCSIมีความเร็วสูงสุด 320 เมกะไบต์/วินาที  กำลังรอบในการหมุนของจานดิสก์ปัจจุบันแบ่งเป็น 10,000 และ 15,000 รอบต่อนาที ซึ่งมีความเร็วที่มากกว่าประเภท E-IDE  ดังนั้น  Hard Disk แบบ SCSI จะนำมาใช้กับงานด้านเครือข่าย (Server) เท่านั้น

รูปแสดง อุปกรณ์ Hard Disk ที่เป็น SCSI

4. แบบ Serial ATA

          เป็นอินเทอร์เฟซที่กำลังได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เมื่อการเชื่อมต่อในลักษณะParallel ATA หรือ E-IDE เจอทางตันในเรื่องของความเร็วที่มีความเร็วเพียง 133 เมกะไบต์/วินาทีส่วนเทคโนโลยีเชื่อมต่อรูปแบบแบบใหม่ที่เรียกว่า Serial ATA ให้อัตราความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลขั้นแรกสูงสุดถึง 150 เมกะไบต์/วินาที โดยเทคโนโลยี Serial ATA นี้ถูกคาดหวังว่าจะสามารถ ขยายช่องสัญญาณ (Bandwidth) ในการส่งผ่านข้อมูลได้เพิ่มขึ้นถึง 2-3 เท่า และยังรองรับข้อมูลได้มากยิ่งขึ้น ไม่เฉพาะ Hard Disk เพียงเท่านั้นที่จะมีการเชื่อมต่อในรูปแบบนี้ แต่ยังรวมไปถึง อุปกรณ์ตัวอื่น ๆ อย่าง CD-RW หรือDVD อีกด้วย

 

รูปแสดง สายสัญญาณแบบ Serial ATA

          ด้วยการพัฒนาของ Serial ATA ทำให้ลดปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างการส่งผ่านข้อมูลระหว่าง CPU ความเร็วสูงกับตัวHard Disk  ลงได้  ในอนาคต Serial ATA ยังแตกต่างจาก Hard Drive ที่ใช้อินเทอร์เฟซ Parallel ATA ซึ่งเป็นแบบขนาน เพราะอินเทอร์เฟซ Serial ATA นี้ มีการกำหนดให้ Hard Drive ตัวไหนเป็น Master (ตัวหลัก) หรือ Slave (ตัวรอง) ผ่านช่องเชื่อมต่อบนเมนบอร์ดโดยตรง  สามารถลดความยุ่งยากในการติดตั้งลงไป อีกทั้ง Hard Disk ประเภทนี้บางตัวยังรองรับการถอดสับเปลี่ยนโดยทันที (Hot Swap) ทำให้การเชื่อมต่อในลักษณะนี้กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก

เมาส์

Image

Mouse
          Mouse เป็น อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ป้อนข้อมูลอย่างหนึ่งแต่ที่เห็นการทำงาน โดยทั่วไปจะเป็นตัวที่ใช้ควบคุมลูกศรให้เคลื่อนที่ไปยังตำแหน่งต่างๆ บนจอภาพ เหมาะสำหรับใช้งานเมื่อต้องเลือก หรือเลื่อนวัตถุต่างๆ บนจอ Mouse ต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์ได้ 2 แบบ ได้แก่ 9 Pin, Serial Port และ PS/2 (Personal System Version2)

Mouse แบ่งได้เป็นสองแบบคือ
          1. แบบทางกล
          2. แบบใช้แสง

          1. แบบทางกล
          เป็นแบบที่ใช้ลูกกลิ้งกลม ที่มีน้ำหนักและแรงเสียดทานพอดี เมื่อเลื่อน Mouse ไปในทิศทางใดจะทำให้ลูกกลิ้งเคลื่อนไปมาในทิศทางนั้น ลูกกลิ้งจะทำให้กลไกซึ่งทำหน้าที่ปรับแกนหมุนในแกน X และแกน Y แล้วส่งผลไปเลื่อนตำแหน่งตัวชี้บนจอภาพ Mouse แบบทางกลนี้มีโครงสร้างที่ออกแบบได้ง่าย มีรูปร่างพอเหมาะมือ ส่วนลูกกลิ้งจะต้องออกแบบให้กลิ้งได้ง่ายและไม่ลื่นไถล สามารถควบคุมความเร็วได้อย่างต่อเนื่องสัมพันธ์ระหว่างทางเดินของMouseและจอ ภาพ
          Ball Mouse
          มีชนิดที่เป็น Ball อยู่ในแนวตั้งและแนวนอน Mouse แบบ Ball การใช้งานต้องเลื่อน Mouse ยังแกนต่างๆบนหน้าจอเพื่อเลือก หรือยกเลิกโปรแกรมที่ทำงานอยู่ ต่อมาได้พัฒนา Mouse ให้มี wheel เพื่อให้สะดวกในการใช้งานกับ Windows ตั้งแต่เวอร์ชัน 95 เป็นต้นมา ซึ่งช่วยในการเลื่อนหน้าต่าง Window ได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องเลื่อน Mouse เพียงแต่ใช้นิ้วขยับไปที่ wheel ขึ้นลงเท่านั้น

ball-mouse


          Wireless Mouse
          เป็น Mouse ที่มีการทำงานเหมือน Mouse ทั่วไปเพียงแต่ไม่มีการใช้สายไฟต่อออกมาจากตัว Mouse ซึ่ง Mouse ชนิดนี้จะมีตัวรับและตัวส่งสัญญาณซึ่งทางด้านตัวรับสัญญาณอาจจะเป็นหัวต่อ แบบ PS/2 หรือ แบบ USB ที่เรียกว่า Thumb USB receiver ซึ่งใช้ความถี่วิทยุอยู่ที่ 27MHz 

wireless-mouse


          Mouse สำหรับ Macintosh
          เป็น Mouse ที่ใช้เฉพาะเครื่องคอมพิวเตอร์ Macintosh ซึ่งเป็น Mouse ที่ไม่มี wheel และปุ่มคลิ๊ก ก็ มีเพียงปุ่มเดียวแต่สามารถใช้งาน ได้ครอบคลุมทุกหน้าที่การทำงาน ซึ่งทางบริษัท Apple ออกแบบมาเพื่อใช้กับเครื่อง Macintosh เท่านั้น 

Mouse-Macintosh

          2. Mouse แบบใช้แสง
          อาศัยหลักการส่งแสงจาก Mouse ลงไปบนแผ่นรอง Mouse (mouse pad)

Optical-Mouse


          เป็น Mouse ชนิดใช้แสงซึ่งปัจจุบัน บริษัทผู้ผลิต Mouse ชนิดนี้ได้เพิ่มให้มีความสวยงามต่างๆกันไป เช่น ใส่แสงให้กับ wheel หรือไม่ก็ออกแบบให้มีแสงสว่างทั้งตัว Mouse แต่หน้าที่การทำงานก็ไม่เปลี่ยนแปลงไปจาก Ball Mouse